แหล่งการเรียนรู้ที่3 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำเสนองาน

 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำเสนองาน
ตัวชี้วัด
 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน(ง3.1 ม.4-6/11)
1.ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองาน

หลัก การนำเสนอข้อมูลและสร้างสื่อนำเสนอ การนำเสนองานหรือผลงานนั้นสื่อนำเสนอเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมเนื้อหา ของผู้บรรยายไปยังผู้ฟังและผู้ชม ดังนั้นสื่อจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก สื่อที่ดี จะช่วยให้การถ่ายทอดเนื้อหาสาระทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ผู้ฟังและผู้ชมจะสามารถ จดจำเนื้อหาสาระได้นานและเข้าใจในเนื้อหาได้ดีมากขึ้น ความหมายการนำเสนอ การนำเสนอข้อมูล หมายถึง การสื่อสารเพื่อเสนอข้อมูล ความรู้ ความคิดเห็น หรือความต้องการไปสู่ผู้ชม ผู้ฟังโดยใช้เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ อันจะทำให้บรรลุ ผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของการนำเสนอ
จุดมุ่งหมายในการนำเสนอ
1. เพื่อให้ผู้ชม ผู้ฟังรับเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอข้อมูล
2. ให้ผู้ชม ผู้ฟังเกิดความประทับใจและนำไปสู่ความเชื่อถือในข้อมูลที่นำเสนอ
การ นำเสนอผลงานโดยใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ มีผลในทางจิตวิทยาการเรียนรู้ ซึ่งได้มีการ ค้นพบจากการวิจัยว่าการรับรู้ข้อมูลโดยผ่านทางประสาทสัมผัสสองอย่าง คือ ตา และหูพร้อมกันนั้น ทำให้เกิดการรับรู้ที่ดีกว่าส่งผลในด้านความสามารถในการจดจำได้มากกว่าการ รับรู้โดยผ่านตา หรือ หูอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว จึงได้มีการพัฒนาสื่อโสตทัศนูปกรณ์รูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาใช้งาน โดยเฉพาะสื่อประสม
หลักการพื้นฐานของการนำเสนอผลงาน มีจุดเน้นสำคัญดังนี้
1) การดึงดูดความสนใจ
     โดย การออกแบบให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้นชวนมอง และมีความสบายตาสบายใจขึ้น เมื่อชมการนำเสนอ ดังนั้นการเลือกองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สีพื้น แบบ สี และขนาดของตัวอักษร รูปประกอบ ต้องเหมาะสม สวยงาม
2) ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา
     ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนที่เป็นภาพประกอบต้องมีส่วนสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์กับข้อความที่ต้อง การสื่อความหมาย การใช้ภาพประกอบ มีประโยชน์มาก ดังคำพังเพยภาษาอังกฤษที่ว่า "A picture is worth a thousand words" หรือ "ภาพภาพหนึ่งนั้นมีค่าเทียบเท่ากับคำพูดหนึ่งพันคำ"  แต่ประโยค นี้คงไม่เป็นจริงหากภาพนั้นไม่มีความสัมพันธ์ อย่างสร้างสรรค์กับความหมายที่ต้องการสื่อ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจใช้ภาพใดประกอบ จึงควรตอบคำถาม ให้ได้เสียก่อนว่าต้องการใช้ภาพเพื่อสื่อความหมายอะไรและภาพที่เลือกมานั้น สามารถทำหน้าที่สื่อความหมายเช่นนั้นจริงหรือไม่
3) ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
     การสร้างจุดเน้นตามข้อ 1 และ 2 ข้าง ต้นต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็ก การใช้สีสด ๆ และภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่และเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องวิชาการหรือ ธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและการใช้รูปการ์ตูนอาจทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือเพราะขาด ภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจังไป
หลักการเลือกใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเพื่อการนำเสนองาน
พรพิมล  อรัญเวศ ได้เสนอหลักการเลือกซอฟต์แวร์ และหลักการนำเสนอผลงานโดยใช้ซอฟต์แวร์ไว้ ดังนี้
1) ทำความเข้าใจกับงานที่เราต้องการนำเสนอ
     ก่อนการเลือกระบบสารสนเทศมาใช้ในการนำเสนองานนั้น เราต้องเข้าใจถึงลักษณะงานที่เราต้องการนำเสนอก่อนว่า เป็นงานในลักษณะใด เช่น เป็นข้อความ หรือมีการคำนวณหรือเป็นงานที่เกี่ยวกับการค้น การเก็บรักษาข้อมูล เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ 
2) เลือกโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้
     เมื่อทราบลักษณะของงานที่ต้องการนำเสนอแล้ว เราจะเลือกระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับการนำเสนองานนั้น งานบางอย่างเราอาจใช้ระบบสารสนเทศในการนำเสนอได้หลายอย่าง เราอาจต้องเลือกว่าจะใช้ระบบใด  ผู้ ใช้ต้องมีความเข้าใจในความสามารถของระบบนั้น โดยเฉพาะในส่วนของซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมว่าแต่ละโปรแกรมมีความสามารถใดบ้าง เราอาจจะต้องทำการประเมินว่าโปรแกรมใดมีความเหมาะสมเพียงใด แล้วจึงเลือกโปรแกรมที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด
3) จัดหาเครื่องมือตามความต้องการของซอฟต์แวร์
     ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมแต่ละโปรแกรมมีความสามารถไม่เหมือนกัน ขนาดของโปรแกรมก็ไม่เท่ากัน ทำให้ความต้องการของฮาร์ดแวร์ในการทำงานตามโปรแกรมนั้นแตกต่างกัน ในคู่มือการใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้นจะบอกข้อกำหนดของฮาร์ดแวร์ที่ ต้องการสำหรับการใช้งานไว้ว่าจะต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง เราจะต้องจัดหาฮาร์ดแวร์ให้ได้ตามข้อกำหนดนั้นเพื่อให้สามารถใช้งาน ซอฟต์แวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับระบบโปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนใหญ่สามารถนำมาใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์มาตรฐานที่มีขายทั่วไปได้เลย ยกเว้นอุปกรณ์ประเภทเครื่องพิมพ์ที่อาจเลือกได้ตามความต้องการว่าเป็น เครื่องพิมพ์สีขาว/ดำ หรือหลายสี จอภาพจะใช้ขนาดใหญ่กี่นิ้ว หรือฮาร์ดดิสก์ที่อาจต้องดูขนาดความต้องการว่าซอฟต์แวร์มีขนาดเท่าใด และฮาร์ดดิสก์จะพอใช้หรือไม่ เพราะในไมโครคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องนั้นเรามักจะบรรจุโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ ไว้หลายชนิด และปริมาณแฟ้มข้อมูลที่มีอยู่เดิมอาจมากจนกระทั่งพื้นที่ที่เหลือไม่เพียงพอ ต่อการใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปใหม่นั้น
4 ) การใช้งานโปรแกรม
     ในการใช้งานนั้น นอกาจากผู้ใช้จะต้องทำความเข้าใจการทำงานของฮาร์ดแวร์ว่าใช้งานอย่างไรแล้ว รายละเอียดการใช้งานซอฟต์แวร์ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้จะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนการใช้งาน ส่วนใหญ่จะศึกษาจากคู่มือของโปรแกรมสำเร็จรูปนั้นเพื่อความเข้าใจในความ สามารถก่อน ปกติแล้วคู่มือการใช้งานมาจากเจ้าของผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ซึ่งมักจะอธิบายถึงความสามารถตามฟังก์ชั่นที่มีอยู่ แต่มักจะไม่ค่อยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ผู้ใช้ต้องทดลองเอง จึงได้มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถในโปรแกรมนั้น ๆ ทำคู่มือการใช้งานในลักษณะการประยุกต์ มีตัวอย่างของงานแสดงให้เห็น ทำให้สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้นและในปัจจุบันนี้มีการทำคู่มือการใช้งาน ในรูปของสื่อคอมพิวเตอร์ที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ทำเป็นซีดีการใช้งาน เป็นต้น ฉะนั้นผู้ใช้งานที่ยังไม่มีประสบการณ์จึงควรเรียนรู้จากคู่มือการใช้งาน ทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
รูปแบบการนำเสนอข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันที่นิยมใช้กันมี 2 รูปแบบ คือ
1.  การนำเสนอแบบ Web page 
     เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต การนำเสนอแบบนี้สามารถสร้างการเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่าง ๆ ตลอดจน สามารถสร้างการเชื่อมโยงเอกสารที่ต่างรูปแบบกันได้แต่ต้องใช้เวลาในการจัดทำ มากกว่า รูปแบบอื่นและผู้จัดทำต้องมีความรู้ความชำนาญในโปรแกรมที่ใช้สร้างเว็บเพจ
2.  การนำเสนอแบบ Slide Presentation 
     เป็นการนำเสนอโดยใช้โปรแกรมนำเสนอ ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่ใช้ง่ายมากมีรูปแบบการนำเสนอให้เลือกใช้หลายแบบ สามารถเรียกใช้ตาราง แผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ และตกแต่งด้วยสีสัน ทั้งสีพื้น สีของตัวอักษร รูปแบบฟอนต์ ของตัวอักษรได้ง่ายและสะดวก ในปัจจุบันสื่อนำเสนอรูปแบบ Slide Presentationหรือ สไลด์ดิจิทัล มักจะสร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม Presentation เช่น Microsoft PowerPoint, OfficeTLE Impress เทคนิคการออกแบบสื่อนำเสนอ สื่อนำเสนอที่ดี ความมีความโดดเด่น น่าสนใจ จะเน้นความคิด “ หนึ่งสไลด์ต่อ หนึ่งความคิด ” มีการสรุปประเด็น หรือสาระสำคัญโดยมีแนวทาง 3 ประการในการออกแบบ ได้แก่
     1) สื่อความหมายได้รวดเร็ว สื่อนำเสนอที่ดีต้องสามารถสื่อความหมายให้ผู้ฟัง ผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว การออกแบบ สื่อนำเสนอในประเด็นนี้ผู้ออกแบบจะต้องทราบกลุ่มเป้าหมาย เนื้อหาสาระที่ต้องการนำเสนอ สถานที่ และเวลาที่ต้องการนำเสนอเพื่อประกอบการออกแบบสื่อ เช่น กลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก สื่อควรมีให้ความสำคัญกับผู้ฟังมากกว่าเนื้อหา สามารถนำเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของโปรแกรมสร้างสื่อมาใช้ได้อย่างเต็มที่ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะโต้ตอบ เช่นการนำเสนอทางวิชาการ การบรรยาย หรือฝึกอบรม สื่อนำเสนอควรให้ ความสำคัญกับเนื้อหารวมทั้งยังสามารถนำเทคนิค หรือ Effect ต่าง ๆ ของโปรแกรมสร้างสื่อ มาใช้ได้อย่างเต็มที่เช่นกัน กลุ่มเป้าหมายเฉพาะกิจ เช่นผู้บริหาร นักวิชาการ สื่อนำเสนอจะต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาและตัว ผู้นำเสนอเป็นสำคัญเนื้อหาควรมุ่งเฉพาะเป้าหมายของการนำเสนอ ไม่เน้น Effect มากนัก กลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ การนำเสนอมักใช้ความสำคัญกับผู้บรรยายมากกว่าเนื้อหาที่นำเสนอ ดังนั้น สื่อนำเสนอไม่ควรเน้นที่ Effect แต่ควรให้ความสำคัญกับขนาดตัวอักษร สีตัวอักษร และลักษณะของสีพื้นสไลด์
     2) เนื้อหาเป็นลำดับ สื่อนำเสนอที่ดีควรมีการจัดลำดับเนื้อหาเป็นลำดับ มีระเบียบ ดูง่าย ไม่สับสนสิ่งที่ จะช่วยให้การออกแบบสื่อนำเสนอที่ต้องการจัดลำดับเนื้อหาให้เป็นระเบียบ และดูง่าย คือ
          2.1) รูป แบบเนื้อหา สื่อนำเสนอแต่ละสไลด์ ควรหลีกเลี่ยงการนำเสนอแบบย่อหน้า หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ควรใช้ เทคนิคการเน้นแนวคิดหลัก( Main Idea) ในแต่ละย่อหน้าด้วยสีที่โดดเด่น เช่น พื้นหลังสีขาว ตัวอักษรสีดำ ควรเน้นแนวคิดหลัก ( Main Idea)ด้วยสีแดงเป็นต้น แต่ละสไลด์เนื้อหาไม่ควรเกิน 6 – 8 บรรทัด ควรสรุปเนื้อหาให้เป็นหัวเรื่อง (Title) และหัวข้อ(Topic) หรือแนวคิดหลัก (Main Idea)
          2.2) แบบอักษร การควบคุมการแสดงข้อความในแต่ละสไลด์ ควรให้ความสำคัญ กับขนาดตัวอักษร ดังนี้
- หัวข้อใหญ่กำหนดขนาดตัวอักษรใหญ่กว่าหัวข้อย่อย
- เลือกใช้แบบอักษรที่เหมาะสม
- เปลี่ยนลักษณะของตัวอักษรนั้น ใช้ตัวหนาในข้อความที่ต้องการเน้น
- ใช้ช่องว่างในการจัดกลุ่มของเนื้อหา
- ข้อความที่ต้องการให้อ่านก่อน ควรจัดไว้ที่ตำแหน่งมุมซ้ายบนของหน้า
- พิมพ์ตัวอักษรลงกรอบที่วางแบบไว้แล้ว
- ขึ้นหัวข้อก่อนแล้วจึงอธิบายอย่างละเอียด
- ใช้สีที่แตกต่างกัน หรือตัวอักษรสีสลับกัน
     3) สื่อนำเสนอต้องสะดุดตาและน่าสนใจ สื่อนำเสนอที่ดีนั้นจะต้องมีจุดเด่นน่าสนใจ สามารถดึงดูดสายตาของผู้ดู ผู้ฟังได้ ซึ่งจุดเด่นนี้ได้มาจากขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่ หรือจากการใช้สีที่แตกต่างออกไป รวมถึง การเลือกใช้ภาพ การใช้สี และการใช้ Effect ควบคุมการนำเสนอ ที่เหมาะสมประกอบ การนำเสนอ
         3.1) การใช้ภาพ เนื่องจากภาพจะช่วยให้ผู้ชม ผู้ฟัง สามารถจดจำได้นานกว่าตัวอักษร ดังนั้น การแปลงเนื้อหาให้เป็นรูปภาพหรือผังภาพก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่สามารถสร้างความ น่าสนใจ ให้กับสื่อที่นำเสนอการเลือกใช้ภาพก็ควรเลือกใช้ภาพที่มีลักษณะที่เหมาะสม กันและกัน คือถ้าในสไลด์นั้นเลือกใช้ ภาพถ่ายก็ควรใช้ภาพถ่ายกับภาพทุกภาพในสไลด์ แต่ถ้าเลือกใช้ภาพวาด ก็ควรเลือก ภาพวาดทั้งสไลด์เช่นกันดังนั้นจึงไม่ควรใช้ภาพวาดผสมกับภาพถ่าย ใส่เทคนิคที่น่าสนใจให้กับภาพเพื่อสร้างจุดเด่น การเอียงภาพ การเว้นช่องว่างรอบภาพ
การ เปลี่ยนสีภาพให้แตกต่างจากปกติ ควรระวังการเลือกใช้ภาพเป็นพื้นหลังสไลด์ เพราะอาจจะทำให้ผู้ชมสนใจ พื้นสไลด์มากกว่าเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ หรืออาจทำให้ผู้ชมไม่สนใจมองสไลด์เลยก็ได้ เนื่องจากภาพทำให้ตัวอักษรไม่โดดเด่น ไม่น่ามอง หรืออ่านยาก
         3.2) การใช้สี การเลือกใช้สี ควรเลือกใช้สีที่ตัดกันระหว่างสีตัวอักษร สีวัตถุ และสีพื้น เช่น เลือกใช้พื้นสไลด์เป็นสีขาวหรือสีอ่อน ๆ สีตัวอักษรก็ควรจะเป็นสีดำ สีน้ำเงินเข็มหรือสีแดงเลือดหมู กรณีเลือกใช้พื้นสไลด์เป็นสีเข็ม ควรเลือกใช้สีตัวอักษรที่มองเห็นได้ชัด ในระยะไกลเช่น สีขาว สีฟ้าอ่อน ควรหลีกเลี่ยงการใช้สีในโทนร้อน เช่น สีแดงสด สีเหลือกสด สีเขียวสด สีวัตถุ สีแท่งกราฟหรือสีของตาราง ก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับสีตัวอักษร และสีพื้นด้วย การเลือกใช้สีใด ๆ ก็ควรเป็นสีในชุดเดียวกันสำหรับสไลด์ทั้งหมด ไม่ควรใช้หนึ่งสี หนึ่งไลด์
         3.3) การใช้ Effect ควบคุมการนำเสนอ ไม่ควรใส่ Effect มากเกินไป เพราะจะส่งผลให้ผู้ชม ผู้ฟัง สนใจ Effect มากกว่าเนื้อหาที่นำเสนอ หรืออาจไม่สนใจการนำเสนอเลยก็ได้ และ Effect ที่มากนี้จะเป็น การรบกวนการจดจำ การอ่าน หรือการชมอย่างรุนแรง เลือกใช้ Effect ไม่ควรเกิน 3 แบบ ในแต่ละสไลด์ควรเลือกใช้ Effectแสดงข้อความที่เลื่อนจากขอบ ซ้ายมาขอบขวา ของจอ เนื่องจากธรรมชาติการอ่านของคนไทยจะอ่านข้อความจากกรอบบนลงมา และอ่านจากด้านซ้ายไปด้านขวา

อุปกรณ์ดิจิทัลที่ช่วยในการนำเสนอผลงาน
อุ ปกรณ์ดิจิทัลที่สามารถถ่ายทอดภาพและเสียงในงานนำเสนอเพื่อให้งานนำเสนอมี คุณภาพ เข้าถึงผู้ชมและผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้
1. โพ รเจกเตอร์ (Projector) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพที่ใช้ในการนำเสนอ โดยสามารถรองรับสัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวีซีดี เครื่องเล่นดีวีดี และเครื่องกำเนิดภาพอื่น ๆ แล้วแสดงผล ขยายขนาดบนจอรับภาพช่วยให้มองเห็นได้ไกลขึ้น เหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลในห้องประชุม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถมองเห็นภาพหรือข้อความได้อย่างชัดเจน
2. วิ ชวลไลเซอร์ (Visualizer) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพระบบดิจิทัลประเภทหนึ่ง ซึ่งพัฒนามาจากโอเวอร์เฮดหรือเครื่องฉายข้ามศีรษะ ใช้แสดงภาพวัตถุและเอกสารสู่จอรับภาพที่มีอยู่จริงได้เลย โดยไม่ต้องดัดแปลง อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับใช้ในการนำเสนองานต่าง ๆ โดยเฉพาะครู-อาจารย์ที่สอนหนังสือ และใช้ได้ดีในการนำเสนอภาพนิ่งมากกว่าภาพเคลื่อนไหว แต่ภาพที่แสดงออกมานั้นก็ให้ความคมชัด มีสีสดใส และมีโหมดของการแสดงภาพให้ปรับการทำงานด้วย การควบคุมการทำงานสามารถทำได้โดยใช้รีโมต
3. กล้อง ถ่ายรูปดิจิทัล (Digital Camera) เป็นอุปกรณ์รับภาพที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อถ่ายรูปที่ต้องการแล้ว รูปจะถูกเก็บลงในหน่วยความจำ (memory) ที่อยู่ในกล้อง เมื่อต้องการดูรูปทำได้โดยการถ่ายข้อมูลจากหน่วยความจำลงบนเครื่องพิมพ์หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้จะมีขนาดตามที่ต้องการ สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงหรือเงาแล้วแต่ความพอใจหรือจะเพิ่มรูปแบบก็สามารถทำได้ และเมื่อจะถ่ายใหม่ ก็สามารถใช้หน่วยความจำเดิมได้เลย โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อฟิล์ม
4. กล้อง ถ่ายวีดิทัศน์ดิจิทัล เป็นอุปกรณ์รับภาพที่บันทึกข้อมูล ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เก็บไว้ในหน่วยความจำแบบแฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงาของภาพได้ และในปัจจุบันสามารถคัดลอกข้อมูลลงในแผ่นดีวีดีได้เลย โดยไม่ต้องโอนลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
5. คอมพิวเตอร์ ตั้งโต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึกหรือโน้ตบุ๊ก เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างงานนำเสนอ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โพรเจกเตอร์ เพื่อนำเสนองาน และใช้นำเสนองานผ่านจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์
6. เครื่อง เล่นเสียง หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม (MP3) เป็นอุปกรณ์ซึ่งบรรจุข้อมูลเสียงที่ใช้เล่นในคอมพิวเตอร์และสามารถถ่ายโอน ข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ โดยข้อมูลเสียงนั้นใช้เทคโนโลยีบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงมากกว่าข้อมูลเสียง ปกติถึง 12 เท่า แม้ขนาดข้อมูลจะเล็กลง แต่คุณภาพเสียงไม่ได้เสียไป อย่างไรก็ตาม หากเรานำข้อมูลเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ไปเล่นในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า จะได้เสียงในลักษณะกระตุกหรือใช้การไม่ได้เลย
7. โทรศัพท์ เคลื่อนที่บางรุ่น เป็นอุปกรณ์ตัวกลางที่ผู้ใช้สามารถนำเสนองานที่สร้างด้วยซอฟต์แวร์ไมโคร ซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ผ่านเครื่องโพรเจกเตอร์ได้สะดวก ง่ายต่อการติดตั้ง เพียงเชื่อมต่อโพรเจกเตอร์เข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านสายเคเบิล แล้วเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยบลูทูธ
นอก จากอุปกรณ์ดิจิทัลที่ช่วยในการนำเสนอผลงานแล้ว ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญในการนำเสนองานคือ คำบรรยาย หรือบทพากย์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบด้านโสตหรือเสียงนั่นเอง โดยมีวิธีการและหลักในการพิจารณาดังนี้
1. การ บรรยายสด เหมาะสำหรับการประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เพราะผู้บรรยายในกรณีนี้เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจากผู้ชมทำให้ผู้บรรยายรู้ว่าผู้ชม สามารถติดตามทำความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่าส่วนไหนจะต้องอธิบายขยาย ความมากน้อยเพียงใด
2. การ พากย์ เหมาะสำหรับเนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วม ของผู้ชม ข้อดีคือสามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟัง สามารถเลือกใช้ดนตรี หรือเสียงประกอบ (Sound effect) เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ข้อเสียคือไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ชมในขณะนั้น
2.ความหมายของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองาน
     การนำเสนองานเข้ามามีบทบาทสำคัญในองค์กรธุรกิจ ทางการเมือง ทางการศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ ต้องอาศัยวิธีการนำเสนอสื่อสารข้อมูลเสนอความคิดเห็น เสนอขออนุมัติ หรือเสนอข้อสรุปการดำเนินงานต่าง ๆ ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ การแนะนำเพื่อเยี่ยมชม การฝึกอบรม การประชุม การนำเสนอความรู้ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องรู้จักวิธีการนำเสนองาน เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ นอกจากนี้ยังต้องเลือกใช้ Software ที่เหมาะสมเนื่องจากในปัจจุบันมี Software ให้เลือกใช้อย่างมากมาย แต่ละโปรแกรมต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นในการใช้ Software และอุปกรณ์ดิจิตัลมาช่วยในการนำเสนองาน ผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงรายละเอียดต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่จะนำมาใช้
3.วัตถุประสงในการนำเสนองาน
 การนำเสนองานเป็นการถ่ายทอดข้อมูล หรือความรู้จากผู้ส่งสาร หรือผู้พูดไปยังผู้รับสารหรือผู้ฟัง เพื่อให้ผู้รับสารทราบ ได้รับความรู้ หรือโน้มน้าวใจของผู้รับสารตามที่ผู้ส่งสารตั้งวัตถุประสงค์เอาไว้ โดยทั่วไปการนำเสนองานมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

4.ขั้นตอนการนำเสนองาน
     การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อนำเสนองาน มีขั้นตอนดังนี้
 1.ศึกษาวัตถุประสงค์ในการนำเสนอ เพื่อให้นำเสนอได้ตรงประเด็น กระชับ และรูว่าต้องมีข้อมูลในกานนำเสนอมากน้อยเพียงใด
 2.วิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เป็นการศึกษาเข้าใจธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับการนำเสนอ โดยมีแนวการศึกษากลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการนำเสนอ ดังนี้
 1) กลุ่มเป้าหมายคือใคร เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นำเสนออย่างไร
 2) แนวความคิดและประสบการณ์ของกลุ่มผู้ฟัง
3) ความคาดหวังของกลุ่มผู้ฟัง
4) ระดับความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในเนื้อหาที่นำเสนอของกลุ่มผู้ฟัง
5) ภูมิหลังหรือเรื่องราวที่อาจมีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้ฟัง
6) ทัศนคติและสิ่งที่ผู้ฟังรับรู้เกี่ยวกับผู้นำเสนอ
7) ข้อมูลอื่นๆ เช่น จำนวนผู้ฟัง ช่วงเวลาในการนำเสนอ ระยะเวลาที่ใช้ในการนำเสนอ ลำดับการนำเสนอ สถานที่ประชุม
3. วางแผนการนำเสนอ เป็นการเตรียมเนื้อหาที่จะสื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และควรกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายควรรู้
4.ผลิตสื่อประกอบการนำเสนอ จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นภาพรวมของข้อมูลและติดตามเนื้อหาได้ทัน
5.เตรียมบุคลิกภาพขณะนำเสนอ บุคลิกภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความมั่นใจในขณะพูดทำให้ผู้ฟังประทับใจ และสนใจติดตาม บุคลิกภาพขณะนำเสนอที่ควรทำมี ดังนี้
      1) ภาษา ต้องเหมาะสมกับระดับวัย การศึกษาของกลุ่มเป้าหมาย สื่อความเข้าใจได้ดี
      2) การใช้เสียง ควรใช้เสียงให้เป็นธรรมชาติ ระดับเสียงดังสม่ำเสมอ
      3) การใช้สายตา เป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คน และควรสบตาให้ทั่วถึง
      4) การแต่งกาย เป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาผู้คน สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ นิสัย และทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจและน่าเชื่อถือ

5.เทคโนโลยีสำหรับนำเสนอ

 ฮาร์ดแวร์ (Hardware)  คือ  เครื่องมือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่สามารถจับ  ต้องได้  ฮาร์แวร์แต่ละประเภทจะมีลักษณะและเหมาะสำหรับงานนำเสนองานต่างกัน  ตัวอย่างฮาร์ดแวร์ที่สนับสนุนการนำเสนองาน  เช่น
               1.  เครื่องฉายภาพข้ามศรีษะหรือเครื่องฉายภาพโปร่งใส (Overhead  Projector)  เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำเสนอได้โดไม่ต้องรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์  มีลักษณะการทำงานแบบอะนาล็อก (Analog)  โดยอาศัยหลักการหักเหของแสง  ช่วยรำเสนอข้อมูลในรูปแบบตัวอักษรและภาพนิ่งที่ต้องควบคุมการเปลี่ยนข้อมูลโดยผู้นำเสนอจึเหมาะสำหรับใช้ประกอบคำบรรยาย  โดยผู้นำเสนอจะต้องเขียนหรือพิมพ์ข้อมูลที่ต้องการนำเสนอแผ่นโปร่งใส  เปิดเครื่องฉายภาพข้ามศรีษะ  แล้วนำแผ่นโปร่งใสวางบนแท่นกระจก  เพื่อให้แสงทะลุผ่านแผ่นโปร่งใสจนเกิดเงาบนฉากหลังแบบ  2  มิติ  ปัจจุบันเครื่งฉายภาพข้ามศรีษะไม่นิยมใช้ในการนำเสนองานมากนัก  เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มากขึ้น
          2.  เครื่องฉายภาพ  3  มิติ (Digital  Visualizer)

       พัฒนาการมาจากเครื่องฉายภาพข้ามศรีษะและเครื่องฉายภาพทึบแสง (Opaque  Projector) ทำให้เกิดความสะดวกในการนำเสนองานที่เป็นวัตถุ  3  มิติ  โดยไม่ต้องถ่ายภาพวัตถุนั้นไปทำเป็นแผ่นโปร่งใสก่อนนำเสนอ  บางรุ่นไม่มีถาดรองวัตถุเพื่อให้ฉายวัตถุขนาดใหญ่มากๆ ได้  การใช้งานเครื่องฉายภาพ  3  มิติลงบนถาดรองวัตถุหรือเชื่อมต่อกับกล้องจุลทรรศน์  เพื่อแสดงข้อมูลภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว  ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานร่วมกัน
                3.  จอภาพ (Monitor) ใช้สำหรับเสนองานที่ได้รับจากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์  เวลาใช้งานจะต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เสมอ  เหมาะสำหรับงานนนำเสนอแบบหนึ่งต่อหนึ่ง  คือ  มีผู้รับข้อมูล  1  คนต่องานนำเสนอ  1  งาน  มีข้อดีที่สามารถตอยสนองต่อการรับข้อมูลของผู้รับข้อมูลได้ดี  เนื่องจากผู้รับข้อมูลสามารถกำหนดการนำเสนองานได้ด้วยตนเองผ่านทางคอมพิวเตอร์   ปัจจุบันมีการพัฒนาจอภาพอย่างต่อเนื่องทั้งรูปแบบและความละเอียดในการนำเสนองาน  จอภาพบางชนิด  สามารถรับข้อมูลจากผู้รับข้อมูลได้โดยไม่ต้องผ่านอุปกรณ์รับข้อมูลอื่นๆ เราเรียกจอภาพลักษณะนี้ว่า  จอภาพแบบสัมผัส    จอภาพวีจีเอ  จอภาพแบบก๊าซพลาสมา
4.   โพรเจกเตอร์ (Projector)
โปรเจคเตอร์
 เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำเสนองานในรูปแบบของตัวอักษร  ภาพ  และภาพเคลื่อนไหวเหมือนกับการนำเสนอด้วยจอภาพ  ฉตโพนเจกเตอร์จะขยายสัญญาณที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์ไปฉายบนฉากหลังที่มีลักษณะเป็ยจอภาพนาดใหญ่  โพรเจกเตอร์แบ่งเป็น  2 ประเภท  ได้แก่ แอลซีดีโพรเจกเตอร์และดีแอลพีโพรเจกเตอร์
                                4.1   แอลซีดีโพรเจกเตอร์ (LCD : Liquid  Crystal  Display  Projector) เป็นเทคโนโลยีในรูปแบบอาล็อก  โดบมีหลักการทำงานเมื่อรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์แล้วจะส่องแสงผ่านของเหลวเพื่อตกกระทบกับแผ่นกระจกสีแดง  สีเขียว  และสีน้ำเงินทำให้เกิดข้อมูลส่งไปฉายบนฉากหลัง  แอลซีดีโพรเจกเตอร์มีขนาดใหญ่  เนื่อจากขณะใช้งานจะมีความร้อนสะสม  จึงต้องติดตั้งพัดลมเพื่อระบายความร้อน  ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นและดูแลรักษาได้ยากกว่าดีแอลพีโพรเจกเตอร์
                                4.2  ดีแอลพีโพรเจกเตอร์ (DLP : Digital  Light  Processing  Projector)  เป็นเทคโนโลยีในรูปแบบดิจิทัล (Digital) พัฒนามาจากแอลซีดีโพรเจกเตอร์  โดยใช้ชิปที่ประกอยด้วยกระจกขนาดเล็กหลายๆ ชิ้น  แต่ละชิ้นแทนพิกเซลที่เป็นส่วนประกอบของภาพ  เมื่อได้รับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์  กระจกขนาดเล็กแต่ละชิ้นจะเอียงเป็นมุมตกกระทบต่อแสงอย่างอิสระ  ผ่านแผ่นกระจกสีเขียว  สีแดง  และสีน้ำเงินที่หมุนด้วยความเร็วสูง  แล้วประมวลผลจนทำให้เกิดข้อมูลฉายไปยังฉากหลัง  ข้อมูลที่ได้จึงมีความละเอียด  สมจริง  นอกจากนี้ดีแอลพีโพรเจกเตอร์จะมีขนาดเล็ก  น้ำหนักเบา  แต่ราคาแพงกว่าแอลซีดีโพรเจกเตอร์
                โพรเจกเตอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบนสามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ  3 มิติหรือฮอโลแกรม (Hologram) ที่มีลักษณะเป็นข้อมูลเสมือนจริง แต่ยังไม่นิยมใช้มากนัก  เนื่องจากมีราคาสูงและมีข้อจำกัดในการนำเสนอข้อมูล
            5.  ลำโพง (Speaker) จอภาพและโพรเจกเตอร์ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบเสียได้ ดังนั้นหากผู้นำเสนองานที่มีเสียงประกอบหรือมัลติมีเดีย ผู้นำเสนอจะต้องเชื่อมต่ลำโพงกับคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม ลำโพงเหมาะสำหรับการนำเสนองานกับผั้บข้อมูลจำนวนมาก แต่หากเป็นงานนำเสนอที่มีผู้รับข้อมูลเพียงคนเดียวจะนิยมใช้หูฟัง (Earphone)  แทนลำโพง
           6.  จอรับภาพ( Screen )

       เป็นอุปกรณ์ สำหรับฉายภาพที่มาจากโปรเจกเตอร์ มีคุณสมบัติในการสะท้อนและเกลี่ยแสงไม่ทำให้เกิดแสงจ้า หรือสะท้อนกลับจนรบกวนสายตาผู้ชม
7. กระดานจออัจฉริยะ (Interactive White Board)

 เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศหนึ่งที่ถูกนำเข้ามาใช้เพื่อในการจัดการนำเสนอ ลดบทบาทของชอล์ก กระดานดำ
8.เมาส์ (Mouse)
 เป็นอุปกรณ์สำหรับการชี้ตำแหน่งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อทำให้สายตา หรือความสนใจของผู้นำเสนอนั้นเคลื่อนไหวตามตัวชี้เมาส์
9.ไมโครโฟน(Microphone)
     เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ต้องมีเคริองขยายเสียงและสำโพงร่วมด้วย
1)            ไมโครโฟนแบบมีสาย
2)            ไมโครโฟนแบบไร้สาย
   2.ซอฟต์แวร์ (Software) ในการนำเสนองานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนั้น มีซอฟต์แวร์ที่ใช้สนับสนุนการนำเสนอในรูปแบบต่างๆมากมาย ซอฟต์แวร์การนำเสนอที่นิยมใช้ส่วนใหญ่เป็นซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนการนำเสนอแบบสื่อประสม เป็นสำคัญดังตัวอย่าง
1. ไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์
2.   ซอฟต์แวร์อิมเพรส
3. ซอฟต์แวร์มูฟวีเมกเกอร์

4. ซอฟต์แวร์แมกซ์

5. ซอฟต์แวร์กอมเพลเยอร์

6. ซอฟแวร์แฟลชเพลเยอร์
7. ซอฟต์แวร์อะโครแบต
8.ซอฟต์แวร์บีบอัดข้อมูล
6.รูปแบบการนำเสนอด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงรูปแบบการนำเสนอผลงานโดยใช้คอมพิวเตอร์ รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 รูปแบบ คือ
           3.1 การนำเสนอแบบ Slide Presentation
                           3.1.1 โดยใช้โปรแกรม Power Point
เป็นโปรแกรมนำเสนอผลผลงานในชุด Microsoft Office เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่ายมากมีแม่แบบ (Template) ให้เลือกใช้หลายแบบ องค์ประกอบหลักของแต่ละหน้าของการนำเสนอคือ หัวข้อ (Little) กับส่วนเนื้อหาหลัก (Body text) เนื้อหาหลักมักจะถูกนำเสนอในแบบของ Bull Point คือการใช้เครื่องหมายพิเศษนำหน้าข้อความที่สั้นกระทัดรัด แต่ได้ใจความมีการจัดลำดับความสำคัญของข้อความโดยการย่อหน้า
3.1.2 โดยใช้โปรแกรม ProShow Gold
           โปรแกรม Proshow Gold คือ โปรแกรมสำหรับเรียงลำดับภาพเพื่อนำเสนอแบบมัลติมีเดีย ที่มีความสามารถสร้างผลงานได้ในระดับมืออาชีพ ด้วยเทคนิคพิเศษมากมาย ใช้งานง่าย เหมาะสมต่อการนำเสนอสื่อ การเรียนการสอน การแนะนำอัตชีวประวัติ สามารถเขียนชิ้นงานออกมาในรูปแบบของวีซีดีได้อย่างรวดเร็ว เป็นโปรแกรมที่ช่วยสร้างแผ่นวีซีดีจากรูปภาพต่าง ๆ ที่ทำงานได้รวดเร็ว โดยสามารถทำการใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วย และสามารถแปลงไฟล์เป็นไฟล์ต่าง ๆ ได้ เช่น VCD ,DVD หรือ EXE ฯลฯ ภาพที่ได้จัดอยู่ในคุณภาพดี ซึ่งโปรแกรมอื่นจะใช้เวลาในการทำงานนานพอสมควร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น